ย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยที่ Admin ยังทำงานอยู่ในต่างประเทศช่วงปี 2003 นั้น งานที่ทำมีความกดดันเป็นอย่างมาก
ส่วนใหญ่เลยคือตัวเราที่เข้าใจไปเองว่าจะต้องตอบสนองความคาดหวังของทุกๆคนรอบข้างให้ดีที่สุดให้ได้ ความเป็น Mr.Nice guy
อยากให้ทุกคนมีความสุข ทำให้เรานั้นกดดันตัวเองและใช้ชีวิตไม่เป็น ทุ่มเททำงาน นอนวันละไม่กี่ชั่วโมง บางสัปดาห์ได้นอนแค่ไม่กี่วัน
ส่งผลให้ระบบของสภาพจิตใจนั้นนั้นผิดแปลกไปพอสมควร แบบเลือดตาแทบกระเด็นของจริง ในสมัยช่วงปลายของการทำงานในต่างประเทศในปี 2010 แอดมินถูกย้ายประจำอยู่ที่เมือง Basra ประเทศอิรัก หลังจากกองทัพฝ่ายอเมริกันโค่นล้มรัฐบาลซัดดัม ฮุสเซน ที่นั่นมีสภาพแวดล้อมที่กดดันถึงขีดสุดจริงๆ ขนาดแอดมินที่ว่าเป็นคนที่อึดที่สุดในรุ่น(กับเพื่อนๆต่างชาติที่เรียนจบด้วยกันมา) แอดมินก็ยังต้องยอมแพ้จากอิรักนี้เอง ที่นี่ต้องอาศัยอยู่ในเเคมพ์ ตื่นเช้ามาก็จะเจอกำแพงคอนกรีตที่สร้างไว้กันระเบิด สูง 4 เมตร ยาวรายล้อมเป็นกิโล เวลาออกไปพบลูกค้าหรือออกไปทำงานนอกแคมป์ทีก็จะมีรถทหารหุ้มเกราะ ประกบหน้าและหลัง ด้วยปืน Ak47 คอยประกบรถของเราจนกว่าจะถึงจุดหมายต่างๆ โดยจุดหมายในการทำงานของแอดมินก็คือไม่ใช่ที่ไหน อยู่ที่หลุมผลิตน้ำมันนั่นเอง ซึ่งในแต่ละพื้นที่ของหลุมผลิตนั้นก็จะมีการเตรียมเคลียร์กับระเบิด (UXO) ให้แล้ว (คือจะมีถุงทรายที่ทาสีแดงครึ่งหนึ่งและสีขาวครึ่งหนึ่งวางเป็นระยะๆ คอยเตือนเราว่า อยู่ฝั่งสีขาวนั้นคือพื้นที่เคลียร์กับระเบิดแล้ว ถ้าก้าวออกไปฝั่งสีแดงก็เรื่องของเอ็งแหละ😅)
นี่แค่ส่วนนึงที่เล็กมากๆไม่พูดถึงเคสต่างๆที่มีรายงานการถูกโจมตีทั้งหลาย และไม่รวมกับความกดดันที่เจอจากลูกค้าจากสารพัดมุมโลกที่มีแนวทางที่แตกต่างกัน การโดนขว้างของใส่หน้าตอนไปรับผิดในเวลาที่ลูกน้องทำพลาดนั้นเป็นเรื่องปกติ (มารู้ว่าที่อื่นเค้าเรียกไม่ปกติก็ตอนออกมาแล้ว) อีกทั้งเรื่องของอาหารการกินที่ไม่ถูกสุขอนามัย (2ปีผลไม้แทบไม่ได้เเตะ อยู่ทะเลทราย ดื่มน้ำวันนึงไม่ถึงลิตร โทษตัวเองล้วนๆที่ใช้ชีวิตแบบบ้าบอจริงๆ) สภาพอากาศก็โหดร้าย ขนาดที่หน้าร้อนในเดือนก.คนั้น อุณหภูมิในทรายที่ยืนอยู่คือ 65-70 องศา (ในอากาศนั้น 53-55C.คือปกติ) เอาเป็นว่าใครได้เคยไปแถวๆนั้นพอลงเครื่องบินมาจะอุทานว่า where the heck am I.. 😖
การใช้ชีวิตแบบนั้นตั้งแต่เรียนจบช่วงอายุ 21ถึง30 ต้นๆไม่ได้ดูมีผลเสียมากนักเนื่องจากมีพลังกายเหลือเฟือ แต่หารู้ไม่ว่าเวลาเรากลับมาพักร้อนที่ประเทศไทยนั้น เคยหลับ2วัน2คืนแบบไม่รู้สึกอะไรเลย พอตื่นขึ้นมา ก็เจอปัญหาการปรับสมองให้เข้าสู่สภาวะปกติไม่ได้ เราไม่สามารถปรับสภาวะจิตใจให้กลับมาสู่โหมดปกติให้ลืมเรื่องงานหรือเรื่องกดดันตัวเองได้เลย
แอดมินพยายามหนักมากในการค้นหา พยายามปรับจูนตัวเองให้ใช้ชีวิตปกติให้ได้ แต่ล้มเหลวไม่เป็นท่า นิสัยโกรธง่าย กระฟัดกระเฟียดมีออกมาเสมอ ไม่ต้องที่ไหนอื่นไกล แค่กลับมาอยู่ที่บ้านกับครอบครัวเพื่อนฝูง เค้าก็ยังถามว่า เปลี่ยนไปมากจากคนร่าเริงเเจ่มใส เคยสร้างเสียงหัวเราะตลอดเวลาแท้ๆ กลับเป็นคนรอไม่ได้ ไม่มีความอดทนสิ่งที่สะท้อนตัวเองในตอนนั้นเป็นเสียงที่ก้องกังวานอยู่ในแก้วหูว่า นี่เรามีปัญหาทางจิตหรือเปล่า จนต้องไปค้นหาคำว่า Mental problem แปลว่าอะไร หลังจากได้คนว่าสภาวะจิตใจของเรานั้นมีความน่าเป็นห่วงจึงตัดใจเด็ดขาด ยอมสละงานที่ทำมาจะ 10 ปี แบบเดือนเดียวเท่ากับเพื่อน 1ปี ลาออกทิ้งไปซะแบบนั้น.. เงินทอง ความก้าวหน้าในตำแหน่งไม่ใช่เป้าหมายอีกแล้วหากชีวิตยังหายใจทิ้งไปโดยมีแต่ความทุกข์แบบนี้…
จากนั้นแอดมินไปบวชเรียน พยายามศึกษาหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นหลักธรรมะ เรื่องของวิทยาศาสตร์กับพระพุธเจ้า ควอนตั้มฟิสิกส์กับสิ่งไร้มวล ซึ่งช่วยได้มากๆ กับการปล่อยวาง การปลง ช่วยได้ดีในระดับหนึ่งเลยล่ะ แต่ชีวิตทางโลกที่ยังต้องรับผิดชอบนั้นมีอีกมากมายจึงกลับมาเป็นฆราวาส โดยที่ปัญหาความเครียด ความกดดันที่ติดเป็นนิสัยยังคงมาหลอกหลอน เป็นคนนอนกัดฟัน
เป็นคนนอนไม่หลับ เป็นแผลร้อนใน ติดตัวมานานเหมือนเป็นกรรมเก่าที่ทรมานเหลือทน (จนฟันกรามแตก ไม่มีของจริงแล้ว สุขภาพเสื่อมถอยยังกับคน50) จากความพยามในการค้นหาตัวเองนั้น จึงได้ตัดสินใจออกเดินทางแบ้คแพ้คท่องเที่ยวในประเทศไทย ลองหัดถ่ายภาพ เพื่อค้นหาอะไรที่ช่วยเราได้ลองมาหลายๆอย่าง จนในที่สุด
ได้มาพบต้นไม้ต้นหนึ่ง ในตลาดนัดสวนจตุจักร เป็นต้นหูกระจงเเคระเล็กๆที่อยู่ในกระถางปูนซีเมนต์ คุณป้าคนขายบอกว่า เค้าเรียก “บอนไซ” ❤️
ปกติแอ้ดมินไม่ใช่คนฟุ่มเฟือยอยู่แล้ว (ไม่นับการไปเจ๊งในตลาดหุ้น NYSE ที่ซื้อลัมโบได้ 2 คัน)
การจ่าย 300 บาท ซื้อมันกลับมาในวันนั้นคือความคุ้มค่าที่สุดในชีวิต มันมีความละมุนในใจแบบบอกไม่ถูก.. ไม่ต้องคุยกัน
แต่มันดูดความกังวลอะไรบางอย่างออกไปได้ ปกติกว่าจะตื่นก็บ่ายโมง กลับมาตื่นเช้ามืด อยากออกไปรดน้ำ นั่งมอง นั่งตัดแต่ง
ปัญหาความเป็นคนแข็งกระด้าง ปัญหานอนไม่หลับเริ่มหายไป รอยยิ้ม ความอยากตื่นมาเจอโลกภายนอกมีมากขึ้น
มุมมองต่อสิ่งรอบข้างดีขึ้นจนยกระดับ mindset ขึ้นมาได้ แต่สิ่งที่ง่ายๆที่มิอาจมองข้ามไปคือพอได้พักผ่อนเต็มที่แล้ว ชีวิตนั้นดีขึ้นจริงๆ
ได้โฟกัสกับความนิ่งของต้นไม้ ให้มันดูดความกังวล ความเครียดออกไป ซึ่งแท้จริงแล้วมันอาจเป็นการสร้างสมาธิในระดับหนึ่ง สติมาปัญญาเกิด
มีการสร้างเป้าหมายเล็กๆให้เราในทุกๆวัน จากคนที่มองแต่ภาพใหญ่ในการบริหารจัดการธุรกิจสินทรัพย์หลายพันล้านบาท
กลับกลายเป็นว่า โดนหูกระจงแคระ 300 บาท ต้นนึงสอนบทเรียนใหม่ๆจนเปลี่ยนมุมมอง การได้มามองเป้าหมายเล็กๆทีละขั้นนั้น แตกต่างกันมากจริงๆ
กาลเวลาผ่านไปไม่นาน ความละมุนแปลกๆที่ได้เจอทุกเช้า มันเรียกว่า “ความสุข” … ความสุขที่เราขาดหายไปตลอดช่วงทศวรรศที่ผ่านมานั่นเอง..
แอดมินนั่งมอง นั่งทำต้นนั้น จนมันตายไป.. ต้นแรกของแอดมินนั้น มีบุญคุณเหลือเกินกับชีวิตที่หันหัวเรือไปมาตามกระเเสลมของสังคม
ทำให้เรือลำนี้เริ่มมั่นคง มีความสุขที่ได้ค้นพบจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของชีวิต
ในที่สุดแล้วการได้มีโอกาสสร้างสรรผลงานบอนไซ ได้แบ่งปันและนำเสนอสิ่งเหล่านี้ให้กับหลายๆท่านที่ผ่านมาคือความโชคดีที่สุดที่ได้ทำ
ท่านที่มาเจอตัวเป็นๆของแอ๊ดมินจะพอสัมผัสได้ว่า คนที่หัวเราะและขำได้ตลอดเวลามันเป็นยังไง
ขอให้ความละมุนนี้.. จงอยู่กับผองเพื่อน สหายและชาวบอนไซตลอดกาล ❤️❤️